ในปี 2024 การเรียนรู้ถือเป็นเป้าหมายหลักของผม เนื่องจากผมต้องการจะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น เพราะอยากนำความรู้ไปพัฒนาบริหารองค์กร รวมถึงต้องการพัฒนาทักษะด้าน content creator ของตัวเองให้ดีขึ้น
แต่เนื่องจากปีที่ผ่านมานั้นถือเป็นหนึ่งในปีที่ผมยุ่งเอามากๆ จากงานในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นงานบริษัทที่บ้าน งานธุรกิจส่วนตัว งานฟรีแลนซ์ต่างๆ รวมถึง งาน content creator
ทำให้เวลาการเรียนรู้ของผมค่อนข้างจะจำกัด ผมต้องอาศัยการวางแผน และเทคโนโลยีต่างๆเพื่อช่วยในการเรียนรู้
โดยตลอดทั้งปีผมก็ได้ลองผิดลองถูก และทำการค้นคว้าหาเทคนิคใหม่ด้านการเรียนรู้ต่างๆ มาลองปรับใช้กับตัวเองดู
โพสนี้ผมเลยอยากจะมาแชร์เทคนิคและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยให้ผมสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา จนสามารถอ่านหนังสือจนจบได้กว่า 10 เล่ม รวมทั้งเรียนรู้ในเรื่องต่างๆได้พร้อมกันในตลอดปี 2024 นี้ครับ
หวังว่าจะมีประโยชน์ สำหรับคนที่กำลังอยากพัฒนาตัวเองในปี 2025 นะครับ
1. ปรับ Mindset เรื่องการลงทุนกับความรู้
ต้องบอกว่าเทคนิคนี้คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ในปีนี้ของผมเลย เพราะก่อนหน้านี้ผมมักจะเป็นคนที่ขี้เหนียวกับการลงทุนในหนังสือดีๆ หรือการลงคอร์สดีๆ โดยมักคิดว่าความรู้ดีๆฟรีๆก็มีอยู่เต็มอินเตอร์เน็ต
แต่จริงๆแล้วการลงทุนกับความรู้นั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด โดยทริคที่ผมใช้คือผมจะกันเงินเดือนไว้ 2-3% จากเงินเดือนของทุกเดือนไว้ในกระปุกสำหรับการเรียนรู้โดยเฉพาะ โดยการใช้ application Make by Kbank ที่สามารถช่วยให้เราสามารถแบ่งเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปล ผมเคยทำคลิปรายละเอียด Financial Workflow ของผมสามารถดูรายละเอียดต่อได้จากคลิปนี้เลย
2. ปรับ Mindset เรื่องการอ่านหนังสือ
ผมเป็นหนึ่งคนที่เคยเป็นนักกองดองหนังสือตัวยง เนื่องจากผมมักจะผัดวันประกันพรุ่งการอ่านหนังสืออย่างเป็นประจำ
เทคนิควิธีการแก้ปัญหาคือผมได้จัดลำดับความสำคัญ (Priority) ให้กับการอ่านหนังสือ ให้เป็นสิ่งที่สำคัญก่อนเข้านอน โดยผมเชื่อว่าถ้าเราให้ความสำคัญกับอะไร เรามักจะหาเวลาในการทำสิ่งนั้นได้เสมอ (เหมือนกับแต่ก่อนที่เหนื่อยแค่ไหนผมก็ไม่เคยพลาดการเล่นเกมส์ก่อนเข้านอน)
รวมถึงผมมักจะวางหนังสือไว้ในจุดที่มองเห็นได้ง่ายก่อนเข้านอน เช่นบนโซฟา หรือโต๊ะทำงาน เพื่อให้ไม่ลืมที่จะอ่านมัน และตั้งเป้าในการอ่านแค่เพียงวันละ 5-10 นาทีต่อวัน
3. สร้างระบบติดตามผลการอ่าน
เจมส์ เคลียร์ ผู้แต่งหนังสือ Atomic Habit ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนตัวเองเรื่องอะไรให้ทำการสร้างระบบให้กับสิ่งนั้น
ผมได้ทำการใช้ platform notion ในการสร้างระบบ Book Tracker ที่ทำให้ผมสามารถบันทึกสถานะการอ่านหนังสือของผม และยังสามารถ track progress ได้ว่าปีนี้ผมได้อ่านหนังสือไปแล้วกี่เล่ม และใกล้บรรลุเป้าหมายแค่ใหน
ปล.ถ้าคุณสนใจ template book tracker ผมมีแจกฟรีอยู่นะครับ สามารถดูที่ link นี้ได้เลย
4. ใช้ E-Reader ช่วยให้อ่านหนังสือได้ง่ายขึ้น
E-Reader ถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคที่คุ้มค่าแก่การลงทุนมากๆในปีที่ผ่านมา โดยช่วยให้ผมสามารถอ่านหนังสือได้ทุกที่ทุกเวลา
โดยผมใช้ E-Reader รุ่น Boox Palma ที่มีขนาดพกพาสะดวกและมีไฟในตัว ทำให้สามารถพกพาได้ง่ายและอ่านตอนกลางคืนได้
ข้อดีอีกอย่างคือน้อง Boox Palma มีระบบปฏิบัติการเป็น Andriod ทำให้สามารถลง App ต่างๆได้ ดังนั้นให้แทนที่เราจะไถโทรศัพท์มือถือก่อนเข้านอน เราสามารถเปลี่ยนมาใช้งาน Boox Palma ก่อนเข้านอนได้ ซึ่งจะช่วยลดอาการไถมือถือจนลืมนอนไปได้แน่นอน
ถ้าใครมีปัญหาด้านการอ่านหนังสือในช่วงกลางคืน ผมแนะนำอุปกรณ์ E-Reader เลย รับรองว่าคุณจะอ่านหนังสือได้มากขึ้น เร็วขึ้นอย่างแน่นอน
สนใจ E-Reader ที่ผมใช้ สามารถกด link affiliate Boox Palma 2 ได้ที่นี้เลยได้นะครับ https://s.shopee.co.th/9A8cfnVxRI
5. ใช้เทคนิคการอ่านหนังสือด้วยหู
เราสามารถใช้ฟังก์ชั่น Speak Screen ได้บน iPhone เพื่อช่วยอ่าน content ต่างๆบนหน้าจอโทรศัพท์ของเราตอนที่เราขับรถ หรือออกกำลังกายได้
รวมถึงเครื่อง E-Reader ที่ผมใช้ก็มี function Assistive Reader ใน app Kindle ที่ช่วยให้ผมสามารถอ่านหนังสือได้ทุกเวลาถึงแม้ว่าจะขับรถอยู่ก็ตาม
6. ใช้เทคโนโลยีในการสรุปข้อมูล
ผมได้ใช้ แอปพลิเคชั่น Blinkist ซึ่งเป็น app ที่ช่วยในการสรุปหนังสือภาษาอังกฤษ รวมทั้งบทความต่างๆ
ส่วนแอปพลิเคชั่นที่ช่วยสรุปหนังสือภาษาไทย ผมจะใช้เป็น app “สรุปให้”
รวมถึงใช้ AI ช่วยสรุป อย่าง NotebookLM จาก Google ที่เราสามารถนำ link บทความต่างๆ หรือ youtube ยาวๆมาให้ NotebookLM ทำการสรุปย่อยมาให้เราอ่าน หรือจะให้ NotebookLM สรุปมาเป็น podcast ก็ยังได้
7. สร้างระบบ Capture เพื่อช่วยในการเรียนรู้
เนื่องด้วยในยุคปัจจุบัน เรามักจะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลต่างๆอย่างมากมายในแต่ละวัน ฉะนั้นถ้าเราเจอข้อมูลอะไรที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเราในอนาคต เราสามารถสร้างระบบในการ capture ข้อมูลเพื่อทำการเก็บข้อมูลต่างๆไว้ในที่ที่เดียวกันได้
โดยผมได้ใช้ platform ที่ชื่อว่า Raindrop.io ที่เป็นแพลทฟอร์มที่เริ่มต้นใช้งานได้ฟรี ให้เป็นแหล่งสำหรับรวบรวมข้อมูลต่างๆที่น่าจะมีประโยชน์ในอนาคต
ข้อดีของ Raindrop คือเราสามารถทำการแบ่งข้อมูลจัดหมวดหมู่เป็น folder ได้ และยังสามารถใช้ได้ทุกอุปกรณ์ รวมถึงเครื่อง E-Reader ด้วย

8. จงลงเรียนคอร์สออนไลน์ให้เหมือนเรียนคอร์สออฟไลน์
ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่ไม่เคยประสบความสำเร็จกับการเรียนออนไลน์เลย โดยมักจะเรียนไม่จบ หรือ เรียนจบแบบไม่รู้สึกว่าได้ความรู้อะไรเพิ่มเติม
ดังนั่นกลยุทธที่เปลี่ยนไปของผมในปีนี้กับการเรียนคอร์สออนไลน์คือการจัด priority การเรียนออนไลน์ให้เหมือนกันการเรียน offline
เริ่มต้นจากการวางตารางการเรียนในแต่ละอาทิตย์ไว้ใน calendar ให้เหมือนกับการเรียนจริงๆ รวมทั้งมุ่งเน้นเรียนกับ platform ที่น่าเชื่อถือ ทำการ research ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สก่อนลงเรียน และเน้นคอร์สที่มี project work ให้เราได้ทำจริง
โดยส่วนใหญ่ผมจะทำการเรียนกับ platform Coursera กับ Udemy ครับ

9. ภาษาอังกฤษคือสิ่งที่สำคัญสำหรับการพัฒนาตัวเอง
เนื่องจากแหล่งความรู้ส่วนใหญ่ในยุคนี้นั้นเข้าถึงง่ายมากๆและส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ
ดังนั้นผมคิดว่าการมีทักษะที่สามารถฟังหรืออ่านได้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆกับการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
ในฐานะที่เป็นนักเรียนที่เรียนเมืองไทยมาตลอด ผมคิดว่าการฝึกฝนทักษะการฟังหรืออ่านนั้นน่าจะง่ายที่สุดแล้ว เพียงแค่เราฟังเยอะๆ และ อ่านเยอะๆ ในทุกๆวัน รับรองว่าเราจะฟังและอ่านได้เก่งขึ้นอย่างแน่นอนครับเพราะผมทำมาแล้ว
หวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ทุกคนสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่องในปี 2025 นี้นะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ